
การเพาะขยายพันธุ์ผำในบ่อซีเมนต์
ลักษณะทั่วไปของไข่น้ำ
ไข่น้ำ (Wolffia
arrhiza (L.) Wimm.) หรือชื่อเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า
"ผำ" หรือ "ไข่ผำ" เป็น พรรณไม้้น้ำประเภทลอยน้ำขนาดเล็ก
พบในแหล่งหนองบึงหรือแหล่งน้ำขัง รูปร่างเป็นเม็ดกลมเขียวหรือเกือบกลม
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 - 1.5 มิลลิเมตร แต่ละต้นมีสีเขียว ไม่มีราก ไม่มีใบ
ต้นประกอบด้วยเซลล์ชนิดพาเรงคิมาเป็นส่วนใหญ่ มีช่องอากาศแทรกอยู่ระหว่างเซลล์
ทำให้เป็นฟองน้ำและช่วยให้มีการลอยตัวอยู่ในผิวน้ำได้
เป็นพืชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
องค์ประกอบทางโภชนะของไข่น้ำพบว่า
มีโปรตีนสูง เบต้า - คาโรทีน และคลอโรฟิลล์จากการสังเคราะห์แสง
ไข่น้ำมีปริมาณโปรตีนในระดับเดียวกับเมล็ดถั่วต่าง ๆ เมล็ดธัญพืช มีเส้นใหญ่สูง
มีปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็น ไม่ต่างกับไข่ไก่ สาหร่ายเกรียวทอง และคลอเรลล่า
นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ในไขน้ำยังมีสารต้านอนุมูนอิสระ (antioxidant) มากกว่าในสาหร่ายเกลียวทอง
ประโยชน์ของไข่น้ำสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารพื้นบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น
แกงอ่อม แกงคั่ว ไข่ตุ๋น ไข่เจียว ยำไข่ผำ เป็นต้น
คุณค่าทางโภชนาการไข่ผำ (ส่วนที่กินได้ 100
กรัม)
-
น้ำ : 97.1 กรัม
-
พลังงาน : 9 กิโลแคลอรี่
-
โปรตีน : 0.6 กรัม
-
ไขมัน : 0.1 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต : 1.5 กรัม
-
ใยอาหาร : 0.3 กรัม
-
เถ้า : 0.7 กรัม
-
แคลเซียม : 59 มิลลิกรัม
-
ฟอสฟอรัส : 25 มิลลิกรัม
-
เหล็ก : 6.6 มิลลิกรัม
-
วิตามิน A : 535 มิลลิกรัม
-
วิตามินซี : 11 มิลลิกรัม
-
ไทอะมีน (วิตามิน B1) : 0.03 มิลลิกรัม
-
ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2) : 0.09 มิลลิกรัม
-
ไนอะซีน (วิตามิน B3) : 0.4 มิลลิกรัม
(กองโภชนาการ
กรมอนามัย, 2544. ตารางแสดงคุณค่าอาหารไทยในส่วนที่กินได้ 100
กรัม.)
ประโยชน์ทางด้านเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด
1.
ไข่ผำนำปล่อยในบ่อเลี้ยงปลาชนิดที่กินพืช
อาทิ ปลานิล ปลาตะเพียน และปลาไน เป็นต้น เพื่อเป็นอาหารเสริมตามธรรมชาติให้แก่ปลา
ทั้งนี้ จะปล่อยในปริมาณน้อย และต้องควบคุมปริมาณไม่ให้แพร่กระจายปกคลุมผิวน้ำ
เพราะถ้าจะแพร่กระจายปกคลุมหน้าผิวน้ำจนทั่วทำให้ปลามีออกซิเจนต่ำและขัดขวางการหายใจของปลาในบ่อได้
2.
ใช้ปล่อยในบ่อบำบัดน้ำเสียสำหรับลดค่าความสกปรกของน้ำ
โดยเฉพาะสารไนโตรเจนที่เป็นแร่ธาตุสำคัญของการเติบโต และโลหะหนักชนิดต่างๆ
การขยายพันธุ์ของไข่น้ำ
การขยายพันธุ์ไข่น้ำจะแตกหน่อต้นใหม่
(budding)
สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เกิดการแตกหน่อ ทุก ๆ 5-6 วัน โดยการแตกหน่อเริ่มจากแตกเป็นปุ่มทางด้านปลายต้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย
ๆ จนหลุดออกจากกัน และต้นแม่มีอายุขัยโดยเฉลี่ย 15 วัน
จำนวนต้นของไข่น้ำที่แตกหน่อเพิ่มจำนวนสูงสุดประมาณ วันที่ 12 ในสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมไข่น้ำจะเข้าสู่ระยะ พัก ไข่น้ำจะเกาะอยู่ตามรากแหนหรือพืชน้ำที่มีลักษณะเป็นเซลล์เดียวเม็ดสีเขียวที่เล็กกลมแข็ง
และจมฝังใน พื้นดินก้นบ่อในสภาพฟักตัวเรียกว่า turion หรือชาวบ้านเรียกว่า
หาเหิน และสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาใหม่เมื่อสภาวะแวดล้อมเหมาะสมอีกครั้งบ่อซีเมนต์
กะละมัง หรือบ่อพลาสติก เมื่อขาดธาตุอาหารในบ่อเลี้ยงต้องเติมปุ๋ยลงในบ่อเลี้ยง
ไข่น้ำจะเจริญเติบโตใหม่ ขึ้นมาทันทีพร้อมที่จะขยายพันธุ์ต่อไป
การเพาะขยายพันธุ์ผำในบ่อซีเมนต์
(โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดพิจิตร)
1.
วัสดุอุปกรณ์
1.1 บ่อซีเมนต์กลม
เส้นผ่านศูนย์กลาง 120
เซนติเมตร
1.2 ปุ๋ย N-P-K สูตร 15-15-15 ปริมาณที่ใช้ 10 กรัมต่อ น้ำ 100 ลิตร
1.3 น้ำหมักมะขามป้อม
100
มิลลิลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร
1.4 พันธุ์ผำ
100
กรัมต่อตารางเมตร
1.5 ฝาปิดบ่อ
ให้แสงผ่านได้ (ป้องกันเศษใบไม้หรือสิ่งสกปรกตกลงบ่อเลี้ยงไข่น้ำ)
2.
วิธีดำเนินการ
2.1
ล้างทำความสะอาดบ่อซีเมนต์
เติมน้ำสะอาดลงในบ่อลึก 25
เซนติเมตร เสร็จแล้วคำนวณหาปริมาตรน้ำในบ่อเพื่อเติมปุ๋ย
ให้ปริมาตรน้ำ 237 ลิตร
2.2
ชั่งปุ๋ยเคมี 23.7 กรัม นำมาละลายน้ำคนจนปุ๋ยละลายหมด
นำไปเทใส่ในบ่อที่เตรียมไว้แล้วคนน้ำปุ๋ยกับน้ำในบ่อให้เข้ากัน
2.3
ชั่งพันธุ์ผำ 95 กรัม แล้วนำไปปล่อยในบ่อที่เตรียมไว้
2.4
ปล่อยผำไว้ประมาณ 7 วันจึงเก็บเกี่ยวผลผลิต (ได้ปริมาณผลผลิต 500-650 กรัมต่อบ่อ)
2.5
การเก็บเกี่ยวผลผลิตผำเเบ่งต่อเนื่อง
ในทุก ๆ 7
วันเก็บด้านประมาณ 2 ใน 3 ของบ่อเลี้ยง เติมปุ๋ย 1 ช้อนแกง
(ละลายน้ำแล้วนำไปใส่) เพื่อเป็นธาตุอาหารให้กับผำ และทุก 15 วันทำความสะอาดดูดตะกอนพื้นก้นบ่อนำเศษของเสียสิ่งสกปรกออก
2.6
หมั่นตรวจสอบความบริสุทธิ์ของผำ
ทั้งนี้อาจมีแหนปนเปามาให้คอยหมั่นเก็บออก
2.7
หากมีสาหร่ายสีเขียวขึ้น แก้ไขโดยปรับค่า
pH
ของน้ำเลี้ยงให้อยู่ระหว่าง 5.5-6.5
2.8
พบหนอนแดงหรือตัวอ่อนของแมลงน้ำ
เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงปลาได้
หรือถ้าหากไม่ต้องการควรเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำเพื่อกำจัดหนอนแดงออกจากบ่อ (กรณีที่นำไปบริโภค)
3.
คุณภาพน้ำ
3.1
pH
8.0
3.2
Alkalinity
102 mg/L
3.3
Ammonia(NH4
NH3) 5 mg/L
แหล่งที่มา
: ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดพิจิตร
ภาพจาก : 1. lamoon_kanomjeen
URL อ้างอิง: