
"งาดำ
งาขาว" ท็อปปิ้งหน้าขนม ที่มีประโยชน์
“งาดำ” และ “งาขาว” หลายคนคงจะคุ้นเคยกับการนำไปใช้โรยหน้าพวกขนมอบ หรืออาหารทั้งคาวและหวาน ซึ่งช่วยเพิ่มรสสัมผัส ความหอม และรสชาติให้กับอาหารได้เป็นอย่างดี แต่สงสัยกันไหมว่า “งาขาว” และ “งาดำ” นั้นมีคุณประโยชน์ต่างกันอย่างไร แล้วกินอะไรได้ประโยชน์กว่ากัน?
ชื่อวิทยาศาสตร์ :
Sesamum
indicum L.
วงศ์ :
Pedaliaceae
ชื่ออื่น : งาขาว, งาดำ (ภาคกลาง) นีโซ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ไอยู่มั้ว (จีน)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30-100 ซม. ลำต้นเป็นเหลี่ยม มีร่องตามยาวของลำต้น มีขนปกคลุม ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือสลับ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ หรือรูปใบหอก กว้างประมาณ 2-5 ซม. ยาวประมาณ 6-10 ซม. ดอกเป็นดอกเดี่ยว เป็นหลอด ออกที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาวหรือสีชมพู ออกโดยรอบลำต้นตอนบน ผลเป็นผลแห้ง มี 4 พู เมล็ดแบน ขนาดเล็ก มีจำนวนมาก รูปไข่ สีดำ เรียก"งาดำ" สีขาวหรือสีนวล เรียก" งาหม่น"
“งาดำและงาขาว” ต่างกันอย่างไร?
จริงๆ แล้ว “งาดำ” และ “งาขาว” นั้นแม้จะเป็นพืชตระกูลล้มลุกเหมือนกัน แต่ก็ถือเป็นคนละสายพันธุ์กัน
โดยรสชาติและรสสัมผัสจะมีความแตกต่างกันดังนี้
1. งาดำ
จะมีเปลือกบางๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ด ไม่จำเป็นต้องกะเทาะเปลือกก่อนรับประทาน
มีกลิ่นสัมผัสที่หอม เข้ม หนักไปทางขม และมีความกรอบในตัว รสสัมผัสจะกรอบกว่างาขาว
2. งาขาว
มีเปลือกแข็งห่อหุ้มเมล็ด จึงต้องกะเทาะเปลือกออกก่อน
เพื่อรับประทานเฉพาะเมล็ดสีขาวข้างใน กลิ่นสัมผัสหอม ละมุน และเมล็ดมีความนุ่มนวล
(เปลือกของงาขาวมีหลายสี ทั้งแดง ดำ และน้ำตาล)
สรรพคุณของงาดำงาขาว
1. ช่วยลดการอักเสบ
2. บำรุงผิวพรรณและกระดูก
3. ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
4. บำรุงหัวใจ
5. ป้องกันโรคมะเร็ง
6. ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
7. บรรเทากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
(PMS)
8. งาดำบำรุงเส้นผม
แก้ผมร่วง
9. ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
10. บำรุงสมอง
ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
11. บำรุงสายตา
เปรียบเทียบสารอาหารจากงาทั้งสองชนิด
จากข้อมูลทางการแพทย์
พบว่าทั้งงาขาวและงาดำนั้นมีสารอาหารที่ใกล้เคียงกันค่ะ
แต่ส่วนที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนก็คือ “แคลเซียม”
ในงาดำนั้นสูงกว่างาขาวเป็นอย่างมากค่ะ
งาขาว 100
กรัม
-
แคลเซียม 90
มิลลิกรัม
-
พลังงาน 697
กิโลแคลอรี
-
ไขมัน 64.2
กรัม
-
น้ำ 3.0
กรัม
-
โปรตีน 26.1
กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 64.2 กรัม
งาดำ 100 กรัม
-
แคลเซียม 975
– 1,469 มิลลิกรัม
-
พลังงาน 695 กิโลแคลอรี
-
ไขมัน 51.9 กรัม
-
น้ำ 2.2 กรัม
-
โปรตีน 20.6 กรัม
-
คาร์โบไฮเดรต 18.9 กรัม
ด้วยเหตุนี้ งาดำจึงมีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกและฟันมากกว่างาขาว เพราะแคลเซียมนั้นจะอยู่ที่เปลือกของงาดำ ซึ่งเราไม่ต้องกะเทาะเปลือกออกก่อนรับประทานนั่นเอง จึงได้แคลเซียมไปมากกว่าการทานงาขาว โดยแคลเซียมนั้นจะช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมวลกระดูกให้มีความแข็งแรง รวมถึงช่วยซ่อมแซมกระดูกที่อ่อนแอจากโรคกระดูกพรุน
ประโยชน์ของงาทั้งสองชนิด
งาดำ
งาขาว และงาทุกชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญก็คือ เซซามิน (sesamin)
เซซาโมลิน (sesamolin) และเซซามอล (sesamol)
ซึ่งจะช่วยเสริมภูมิต้านทานอวัยวะอย่าง ตับ สมอง และหัวใจ
รวมถึงช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม เพราะเซซามิน
ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ทำร้ายคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ช่วยชะลอความแก่
สร้างภูมิคุ้มกันใหักับผิว และซ่อมแซมเซลล์ผิว
นอกจากนี้ งายังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงถึง 80% ซึ่งเมื่อนำมาสกัดเป็นน้ำมัน ก็จะได้ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 กรดโอเลอิก และกรดไลโนเลอิก ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวและหลอดเลือดตีบ ช่วยให้ระบบหัวใจแข็งแรง รวมถึงบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น และบำรุงผม
กินงาอย่างไรได้ประโยชน์สูงสุด?
1. แม้ว่างาจะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์
แต่ก็มีแคลอรี่ค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไปก็อาจทำให้อ้วนได้
ดังนั้นจึงควรกินในปริมาณที่เหมาะสม คือ 10 -15 กรัม หรือ ไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะ
2. เคี้ยวงาให้ละเอียดเพื่อให้ได้สารอาหารเต็มที่ หรือแนะนำให้นำไปคั่วแล้วบดให้ละเอียด (แต่ต้องระวังงาไหม้ด้วยนะ เพราะเมล็ดงามีขนาดเล็กทำให้ไหม้ง่ายมาก)
แหล่งที่มา :